วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

วัฒนธรรมตามแบบตะวันตกสมัยรัชกาลที่ 6

รองศาสตราจารย์วีณา เอี่ยมประไพ

              พระราโชบายส่งเสริมวิถีความเป็นตะวันตกในสังคมไทย ซึ่งนับเป็นการวางรากฐานขั้นต้นและได้รับการสืบทอดต่อมาจนปัจจุบัน คือความเป็นสุภาพบุรุษที่ได้รับการนิยามความหมายเช่นเดียวกับชายชาวอังกฤษยุควิคตอเรียน คือ ความสุภาพ  เสียสละ ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้มีการจัดตั้งสโมสรเพื่อเป็นพื้นที่ให้ได้มีการพบปะสังสรรค์ เรียนรู้มารยาทอันดีงาม และฝึกการเป็นสุภาพบุรุษซึ่งแสดงถึงลักษณะความเป็นชายที่ได้รับการยอมรับจากสังคม คุณลักษณะความสุภาพบุรุษดังกล่าว เป็นพระราชจริยวัตรในพระองค์ทจนได้รับพระสมัญญานามว่า เจ้าชายวิคตอเรียนแห่งสยาม วัฒนธรรมการเข้าสมาคมคือสิ่งที่พระองค์ทรงได้รับจากการที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ ดังนั้นการพบปะกันของสมาชิกในสโมสรเป็นโอกาสได้มีฝึกหลักประพฤติทางสังคมแบบตะวันตก  อีกทั้งยังมีกิจกรรมพักผ่อนตามแบบประเทศตะวันตก ในการจัดตั้งสโมสรแต่ละแห่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้มีการออกวารสารและหนังสือพิมพ์เช่น ทวีปัญญาสโมสร ดุสิตสมิต ดุสิตสมัย ซึ่งพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทความเผยแพร่พระราชดำริและพระบรมราโชวาทในทางปลูกฝังประชาชนให้มีแนวคิดหรือความประพฤติในแนวทางที่พระองค์มีพระราชประสงค์ รวมทั้งการวาดภาพล้อเลียนบุคคลบนพื้นฐานของนักหนังสือพิมพ์


                กิจกรรมการฝึกความเป็นชายตามแนวคิดแบบใหม่ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การฝึกซ้อมรบและการกีฬาของสมาชิกกองเสือป่า โดยจุดมุ่งหมายหนึ่งของการจัดตั้งกองเสือป่าคือ ความสามัคคี เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าข้าราชการแต่ละหน่วยงานขาดความสามัคคี มีความจงรักภักดีเฉพาะเสนาบดีของตน จึงมีพระราชดำริที่จะให้กิจการเสือป่าเป็นแนวทางแก้ปัญหาด้วยการให้ข้าราชการแต่ละหน่วยงานมาซ้อมรบร่วมกัน  ผลสำเร็จที่พระองค์ทรงได้รับคือการขจัดความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างข้าราชการต่างระดับ ต่างหน่วยงาน เนื่องจากสมาชิกทุกคนต้องขึ้นตรงต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้นและพระองค์ซึ่งทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด มีผลให้เกิดความจงรักภักดีและสำนึกแห่งชาตินิยม


การเผยแพร่วัฒนธรรมจากประเทศในยุโรปมายังประเทศไทยทำให้เกิดการปรับตัวเพื่อเลียนแบบความเจริญของศูนย์กลางอำนาจโลก ทั้งด้านวัตถุ ค่านิยม ความเชื่อซึ่งสะท้อนออกทางด้านศิลปะ พฤติกรรมอันเป็นวีถีชีวิตของคน โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้คัดสรรรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อดัดแปลงให้เข้ากับสังคมไทย  ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าลัทธิการปกครองแผนใหม่จากประเทศตะวันตกยังไม่เหมาะกับประเทศไทย เนื่องจากประชาชนยังคงด้อยการศึกษา จึงมิได้ทรงรับมาใช้กับการเมืองการปกครองไทย  อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการศึกษาและการปฏิสัมพันธ์กับต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น มีผลให้กระแสความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ก่อตัวขึ้นในกลุ่มนายทหารรุ่นหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะพรรค ร.ศ. 130 มุ่งหวังจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ ลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ
                สาเหตุของความเคลื่อนไหวทางการเมืองมาจากความไม่พึงพอใจพระราโชบายการบริหารประเทศของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ประเด็นสำคัญคือ แนวคิดว่าหากประเทศปกครองด้วยหลักกฎหมายที่ยุติธรรม ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เช่นเดียวกับประเทศตะวันตก อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแนวความคิดเรื่องความเป็นสมัยใหม่มีอิทธิพลต่อชนชั้นกลางของสังคมไทย แต่แตกต่างจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือพระองค์ในฐานะองค์อธิปัตย์ทรงเป็นผู้กำหนดการแสดงออกหรือเส้นทางที่จะมุ่งไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ผ่านทางงานศิลปะ ซึ่งสัมพันธ์กับราชสำนักด้วยลักษณะที่วิจิตรงดงามจากงานช่างที่ต้องใช้ฝีมือขั้นสูง เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์ความเจริญของชาติ ขณะที่สามัญชนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองด้วยมุ่งหมายลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ สถาปนาระบอบการปกครองเช่นเดียวกับประเทศตะวันตก แม้ว่าการดำเนินงานของกลุ่ม ร.ศ. 130 จะไม่ประสบผลสำเร็จกลายเป็นกลุ่มกบฏ แต่แนวคิดที่จะให้ประเทศไทยมีการปกครองแบบประเทศตะวันตกยังคงสืบเนื่องต่อไปในกลุ่มหัวก้าวหน้า อันเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชกาลต่อมา



ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ 6

รองศาสตราจารย์วีณา เอี่ยมประไพ

                ผลงานด้านศิลปะในสมัยรัชกาลที่ 6 มีทั้งแบบจารีตและการรับรูปแบบจากตะวันตกมาสร้างสรรค์ผลงาน  ขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุปถัมภ์งานศิลปกรรมโดยการรวมเอางานประณีตศิลป์จากต่างหน่วยงานจัดตั้งเป็นกรมมหรสพ (กรมศิลปากรในปัจจุบัน) เพื่อทำหน้าที่ทนุบำรุงและพัฒนางานฝีมือของช่างไทย  รวมทั้งจัดหลักสูตรด้านศิลปะในโรงเรียนเพาะช่าง  ด้วยการรับแนวคิดจากประเทศอังกฤษที่มีวิทยาลัยเพาะช่างหลวง (Royal Academy of Art)
                งานด้านศิลปกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศตะวันตกอย่างเด่นชัดคือการวาดงานจิตรกรรมแบบปูนเปียก (Fresco) โดยศิลปินชาวต่างชาติ  และภาพล้อฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งพระองค์พระราชทานให้ลงพิมพ์ในดุสิตสมิต ซึ่งป็นวารสารของดุสิตธานี  ส่วนใหญ่เป็นภาพบุคคลที่ทรงวาดขึ้นโดยนำบุคคลิกลักษณะ หรือความสามารถมาทรงวาดเป็นภาพลายเส้น



ภาพปูนเปียก (Fresco) พระราชวังพญาไท




ภาพล้อฝีพระหัตถ์



การแสดงและดนตรีสมัยรัชกาลที่ 6

รองศาสตราจารย์วีณา เอี่ยมประไพ

             รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนับเป็นยุคทองของศิลปะด้านการแสดง ทั้งแบบจารีตคือ โขน ละครนอก ละครใน และละครแบบใหม่ซึ่งได้รับอิทธิพลของประเทศตะวันตก อันได้แก่ ละครร้อง ละครพูด ละครดึกดำบรรพ์ ความสนพระทัยของพระองค์ต่องานแสดงนั้น มิใช่เพียงแต่การทอดพระเนตรดังเช่นรัชกาลที่ผ่านมา แต่ได้มีส่วนพระราชนิพนธ์บทละครทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศรวมประมาณ 180 เรื่อง (ม.ล.ปิ่น มาลากุล,2518:8) ทรงควบคุมการแสดง และทรงแสดงร่วมด้วย 


1) โขน
            การแสดงโขนเป็นศิลปะขั้นสูงของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตทั้งส่วนของพระมหากษัตริย์และประชาชนทั่วไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนศิลปะการแสดงโขนด้วยการพระราชนิพนธ์บท ทรงควบคุมการจัดแสดงและฝึกซ้อมด้วยพระองค์เอง เนื่องจากผู้แสดงล้วนเป็นข้าราชบริพารในพระองค์จึงรู้จักกันในนามโขนสมัครเล่น ต่อมาเมื่อผู้แสดงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้สูงขึ้นเป็นลำดับ จึงมีชื่อเรียกว่าโขนบรรดาศักดิ์ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช   มหาดเล็กในพระองค์ได้รวมตัวกันเล่นโขนเื่อความสนุกสนาน พระองค์จึงทรงโปรดฯ ให้ครูโขนละครจากคณะของเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชรฯ เป็นผู้ฝึกหัด พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าโขนสมัครเล่นสมควรจะแสดงได้ดีกว่าโขนอาชีพ เนื่องจากมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีกว่า โดยเทียบเคียงกับประเทศอังกฤษว่ายกย่องศิลปินให้เป็นขุนนาง (วรชาติ มีชูบท, 2553 : 41) การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการแสดงโขน นอกจากจะเป็นการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงให้คงอยู่แล้ว พระองค์ยังได้ทรงใช้ศิลปะการแสดงดังกล่าวในการสอดแทรกพระราโชบายหรือพระราชดำริ โดยเฉพาะโขนซึ่งใช้วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เป็นหลักในการแสดง มุ่งเน้นความสำคัญด้านคุณธรรมและยกย่องพระมหากษัตริย์ที่เปรียบประดุจสมมติเทพ  


โขนบรรดาศักดิ์ จ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
2) ละคร
                อิทธิพลของประเทศตะวันตกที่มีต่อศิลปะของไทยในสมัยรัชการที่ 6 ซึ่งเห็นได้อย่างเด่นชัดคือศิลปะการแสดงละคร  โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำแบบอย่างมาเผยแพร่ ทั้งบทละคร วีธีแสดง การวางตัวละครบนเวที การเปล่งเสียงพูด พระองค์ทรงมีบทบาททั้งการพระราชนิพนธ์บทละคร ทรงควบคุมการแสดงและทรงแสดงร่วม  นับเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความบันเทิงจากสมัยจารีตที่ชนชั้นนำนิยมดนตรีไทยและละครใน  บทพระราชนิพนธ์และการจัดแสดงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิใช่เพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสอดแทรกพระราโชบายที่มุ่งปลูกฝังแก่ประชาชน ดังเช่น เรื่องพระร่วง นับเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความมีสติปัญญาของพระร่วงต่อการปลดปล่อยดินแดนสุโขทัยให้หลุดพ้นจากอำนาจขอม ขณะเดียวกันก็แสดงถึงความรักแผ่นดินและความจงรักภักดีต่อผู้นำจากบทของนายมั่นปืนยาว โดยพระองค์ทรงแสดงในบทบาทดังกล่าวนี้ด้วย บทละครเรื่องนี้จึงเป็นต้นแบบของละครปลุกใจให้รักชาติ สอดคล้องกับแนวพระราชดำริ เรื่องชาตินิยมซึ่งเป็นพระราโชบายที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของรัชสมัยนี้     ดังเช่นบทร้องในละครเรื่องพระร่วงตอนหนึ่งที่ว่า


                                ...ข้าเจ้าผู้เป็นไทย       จงใจรักและภักดี
                        ต่อองค์พระทรงศรี                สถิตเกล้าเหล่าประชา,
                        ขอนั่งพระสมภาร                  ทุกวันวารขอเป็นข้า,
                        เต็มใจใฝ่อาสา                     ต่อสู้หมู่ไพรี...

                                                               (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,2515:127)


            ด้วยความเอาพระราชหฤทัยใส่ต่อศิลปะด้านการแสดงโขนละคร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดฯ ให้จัดระเบียบกรมมหรสพที่เคยมีแต่เดิมตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ใหม่ กล่าวคือ  ในอดีตกรมมหรสพมีหน้าที่เกี่ยวกับการละเล่นของหลวง 5 ประเภทคือ ระเบง โมงครุ่ม กุลาตีไม้ แทงวิสัย และกระอั้วแทงควาย ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ก็ทรงโปรดฯ ให้กรมมหรสพดูแล 4 หน่วยงานคือ กรมโขนหลวง กรมปี่พาทย์หลวง กรมช่างมหาดเล็ก และกองเครื่องสายฝรั่งหลวง ผู้ที่มีความสามารถด้านการแสดงและได้เข้ารับราชการในกรมมหรสพมักเป็นที่ทรงโปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าบุคคลอื่น ประกอบกับการใช้จ่ายเงินจำนวนเพื่อจัดการแสดงโขนละคร จึงทำให้เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งไม่พอใจอันเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดความเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมือง

            พระราชกรณียกิจด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นส่วนหนึ่งของบทละคร  จากการที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทร้องประกอบเนื้อเรื่อง  ทั้งทำนองเพลงไทยและเพลงสากล  นอกจากนี้ยังทรงสนับสนุนและส่งเสริมให้ดนตรีไทยดำรงอยู่และสืบทอดต่อมา  โดยพระองค์ทรงโปรดฯให้มีการสอนและฝึกซ้อมดนตรีไทยควบคู่ไปกับการเรียนการสอนวิชาสามัญ